น้ำยางสามารถจับตัวได้อย่างไร
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 17 ม.ค. 2013 9:46 am
ประกอบด้วยหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น
- คุณสมบัติของตัวน้ำยางเองคือ หลังจากการกรีด น้ำยางสดจะคงสภาพเป็นน้ำยางไม่เกิน 6 ชั่วโมง จากนั้นจะเกิดการเสียสภาพ จากคุณสมบัติ
๑.Flocculation เกิดการจับตัวเป็นเม็ดเล็กๆ (เม็ดพริก) หลังจากกรีดยางประมาณ 2 ชั่วโมง จะเริ่มจับตัวเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายเม็ดพริก แล้วค่อยๆ หนืดขึ้น
๒.Coagulation จับตัวเป็นก้อน เกิดการแยกเป็น 2 ส่วน คือ ยาง และ เซรุ่ม
๓. Gelation จับตัวทั้งก้อน เสียสภาพแล้ว แต่ยังคงรูปเป็น Gel
- ปัจจัยจากสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ เมื่อน้ำยางได้รับความร้อน ก็สามารถทำให้จับตัวได้เช่นกัน
- การเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในน้ำยาง เนื่องจากในน้ำยาง มีประกอบของน้ำตาลชนิดคิวบาซิทอล ประมาณ 1%
และ กลูโคส ซูโคส ฟรุกโตส ปริมาณเล็กน้อย เป็นน้ำตาลที่เหมาะแก่การเจริญของแบคทีเรีย ที่อยู่ในน้ำยาง น้ำตาลเหล่านี้จะถูกแบคทีเรีย
ใช้เป็นอาหาร เกิดปฏิกิริยาการย่อยสลายทำให้เกิดกรดไขมันที่มีโมเลกุลขนาดเล็กๆ (Short chain fatty acid)ในส่วนของเกิดการบูดเน่า มีกลิ่นเหม็นของน้ำยาง เกิดจาก ในน้ำยางมีส่วนประกอบของโปรตีนและกรดอะมิโน
ยางจะเกิดการสูญเสียสภาพและรวมตัวเป็นก้อน โดยกรดเหล่านี้จัดเป็นกรดไขมันที่ระเหยได้ง่าย เรียกชื่อว่า VFA(Volatile fatty acid)
VFA ประกอบด้วย กรดฟอร์มิค กรดอะซิติก และกรดโพรไพโอนิค VFA จึงเป็นค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการรักษาสภาพของน้ำยาง
ในส่วนของโปรตีนที่อยู่บริเวณผิวของอนุภาคยางนี้ จะมีส่วนประกอบของกำมะถัน (Cystine disulphide linkage)อยู่ประมาณ 5 %
ดังนั้นขณะที่น้ำยางเกิดการเสียสภาพ จะเกิดการบูดเน่า โดยโปรตีนในส่วนนี้จะสลายตัวให้สารประกอบพวก ไฮโดรเจนซัลไฟด์
และสารเมอร์แคปแทน(Mercaptan) ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นขึ้น
- คุณสมบัติของตัวน้ำยางเองคือ หลังจากการกรีด น้ำยางสดจะคงสภาพเป็นน้ำยางไม่เกิน 6 ชั่วโมง จากนั้นจะเกิดการเสียสภาพ จากคุณสมบัติ
๑.Flocculation เกิดการจับตัวเป็นเม็ดเล็กๆ (เม็ดพริก) หลังจากกรีดยางประมาณ 2 ชั่วโมง จะเริ่มจับตัวเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายเม็ดพริก แล้วค่อยๆ หนืดขึ้น
๒.Coagulation จับตัวเป็นก้อน เกิดการแยกเป็น 2 ส่วน คือ ยาง และ เซรุ่ม
๓. Gelation จับตัวทั้งก้อน เสียสภาพแล้ว แต่ยังคงรูปเป็น Gel
- ปัจจัยจากสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ เมื่อน้ำยางได้รับความร้อน ก็สามารถทำให้จับตัวได้เช่นกัน
- การเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในน้ำยาง เนื่องจากในน้ำยาง มีประกอบของน้ำตาลชนิดคิวบาซิทอล ประมาณ 1%
และ กลูโคส ซูโคส ฟรุกโตส ปริมาณเล็กน้อย เป็นน้ำตาลที่เหมาะแก่การเจริญของแบคทีเรีย ที่อยู่ในน้ำยาง น้ำตาลเหล่านี้จะถูกแบคทีเรีย
ใช้เป็นอาหาร เกิดปฏิกิริยาการย่อยสลายทำให้เกิดกรดไขมันที่มีโมเลกุลขนาดเล็กๆ (Short chain fatty acid)ในส่วนของเกิดการบูดเน่า มีกลิ่นเหม็นของน้ำยาง เกิดจาก ในน้ำยางมีส่วนประกอบของโปรตีนและกรดอะมิโน
ยางจะเกิดการสูญเสียสภาพและรวมตัวเป็นก้อน โดยกรดเหล่านี้จัดเป็นกรดไขมันที่ระเหยได้ง่าย เรียกชื่อว่า VFA(Volatile fatty acid)
VFA ประกอบด้วย กรดฟอร์มิค กรดอะซิติก และกรดโพรไพโอนิค VFA จึงเป็นค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการรักษาสภาพของน้ำยาง
ในส่วนของโปรตีนที่อยู่บริเวณผิวของอนุภาคยางนี้ จะมีส่วนประกอบของกำมะถัน (Cystine disulphide linkage)อยู่ประมาณ 5 %
ดังนั้นขณะที่น้ำยางเกิดการเสียสภาพ จะเกิดการบูดเน่า โดยโปรตีนในส่วนนี้จะสลายตัวให้สารประกอบพวก ไฮโดรเจนซัลไฟด์
และสารเมอร์แคปแทน(Mercaptan) ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นขึ้น