การปลูกพืชคลุมดินในสวนยาง

 

            ในระยะยางอ่อน ปัญหาสำคัญคือ วัชพืชสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นยาง การปลูกพืชคลุมดินเป็นวิธีหนึ่งที่ควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืชได้ และลดการชะล้างและพังทลายของดิน ตลอดจนสามารถปรับปรุงโครงสร้างและเพิ่มธาตุอาหารในดินด้วย


ประโยชน์ของพืชคลุมดิน

• ป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน

• รักษาความชุ่มชื้นในดิน

• เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน

• เพิ่มธาตุอาหารโดยเฉพาะไนโตรเจนในดิน และหมุนเวียนธาตุอาหาร

• ควบคุมวัชพืช

• ช่วยลดระยะเวลายางอ่อน

• ผลตกค้างของพืชคลุมดินทำให้ผลผลิตยางเพิ่มขึ้น


ข้อจำกัดของพืชคลุมดิน

• เป็นแหล่งอาศัยของโรคและแมลง

• เป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ในสวนยางได้ง่าย

• เป็นการเพิ่มโรครากให้แก่ต้นยาง

• ขึ้นพันต้นยาง ทำให้เสียหาย


ชนิดของพืชคลุมดินที่ปลูกในสวนยาง

 พืชคลุมดินตระกูลถั่วที่ใช้ปลูกในสวนยางที่สำคัญมี 4 ชนิด คือ

            1. คาโลโปโกเนียม (Calopgonium mucunoides) เป็นพืชคลุมดินที่เจริญเติบโต ได้รวดเร็ว สามารถคลุมพื้นที่ทั้งหมดภายหลังปลูกภายใน 2 – 3 เดือน แต่จะตายภายใน 18 – 24 เดือน มีเมล็ดเล็กแบน สีน้ำตาบอ่อนเกือบเหลือง มีเมล็ดประมาณ 65,000 เมล็ดต่อกิโลกรัม

             2. เพอราเรีย (Pueraria phaseoloides) เป็นพืชคลุมดินที่เจริญเติบโตค่อนข้าง เร็วสามารถคลุมพื้นที่ทั้งหมดหลังปลูกภายใน 5 – 6 เดือน คลุมดินได้ดีเมื่ออายุเกิน 2 ปี ควบคุมวัชพืชได้ดีกว่าพืชคลุมดินอื่นอยู่ภายใต้ร่มเงาได้ดี ใบใหญ่หนา เมล็ดเล็กค่อนข้างกลม ยาว สีน้ำตามแก่มีเมล็ดประมาณ 76,000 เมล็ดต่อกิโลกรัม

            3. เซ็นโตรซีมา (Centrosema pubescens) เป็นพืชคลุมดินที่เจริญเติบโตช้า แต่ หนาทึบ และอยู่ได้นานขึ้นได้ดีภายใต้ร่มเงา ใบเล็ก เมล็ดเล็กแบนมีลาย และมีเมล็ดประมาณ 40,000 เมล็ดต่อกิโลกรัม

             4. ซีรูเลียม (Calopogonium caeruleum) เป็นพืชคลุมดินที่เจริญเติบโตใน ระยะแรกช้าสามารคลุมพื้นที่ได้หนาแน่นภายใน 4 – 6 เดือน ทนทานต่อร่มเงาได้ดี ไม่ตายในหน้าแล้ง ใบสีเขียวเข้มค่อนข้างหนาและเป็นมัน แผ่นใบมีขน เมล็ดมีสีเขียวอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ ผิวเมล็ดเรียบเป็นมันวาวมีเมล็ดประมาณ 26,200 เมล็ดต่อกิโลกรัม เนื่องจากลักษณะและการเจริญเติบโตของพืชคลุมดินแต่ละชนิดแตกต่างกัน การ ปลูกพืชคลุมดินให้คลุมตลอดอายุต้นยางอ่อน ควรปลูกหลายชนิดรวมกันตามสัดส่วน และเมล็ดพันธุ์พืชคลุมดินควรมีความงอกมากกว่าร้อยละ 80 ปลูกโดยวิธีหว่าน สัดส่วนของการผสมเมล็ดพันธุ์พืชคลุมดิน


สัดส่วนของการผสมเมล็ดพันธุ์พืชคลุมดิน

 

สูตร

สัดส่วนโดยน้ำหนัก

กรัม/พื้นที่ปลูกยาง 1 ไร่

คาโลโปโกเนียม

เซ็นโตรซีมา

เพอราเรีย

ซีรูเลียม

คาโลโปโกเนียม

เซ็นโตรซีมา

เพอราเรีย

ซีรูเลียม

เขตปลูกยางเดิม

1

2

3

4

5

6

7

8

5

2

-

-

1

1

-

-

4

2

2

3

2

1

-

-

1

1

1

1

-

-

1

-

-

-

-

-

-

-

-

-

500

400

-

-

340

500

-

-

400

400

660

750

660

500

-

-

400

200

340

250

-

-

1,000

-

-

-

-

-

-

-

-

270 - 310

เขตปลูกยางใหม่

9

10

1

-

-

-

1

-

-

1

750

-

-

-

750

1,500

-

270 - 310



การเตรียมเมล็ดพันธุ์พืชคลุมดิน

เมล็ดพืชคลุมดินมีเปลือกหุ้มเมล็ดแข็งทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในเมล็ดยาก เมื่อนำไปปลูกเมล็ดจะงอกน้อย จึงควรกระตุ้นให้เมล็ดงอกดีขึ้นโดยปฏิบัติดังนี้ 

          1. แช่ในน้ำอุ่น ใช้ปฏิบัติกับเมล็ดพืชคลุมดินคาโลโปโกเนียม เซ็นโตรซีมา และเพอราเรียนำไปแช่ในน้ำอุ่น (น้ำเดือด : น้ำเย็น อัตรา 2:1) นาน 2 ชั่วโมง นำเมล็ดไปผึ่งให้แห้งหมาดๆ แล้วนำไปคลุกกับหินฟอสเฟต (25% Total P2O5) เพื่อนำปลูกต่อไป ควรเตรียมเมล็ดพืชคลุมดินเพื่อปลูกให้หมดในแต่ละครั้ง การเก็บไว้นานเกินไปจะทำให้ความงอกเสื่อมลง 

          2. แช่ในน้ำกรด ใช้ปฏิบัติกับเมล็ดซีรูเลียม โดยแช่ในกรดกำมะถันเข้มข้นนาน 10 นาที นำไปล้างน้ำแล้วผึ่งให้แห้ง 


ช่วงเวลาการปลูกพืชคลุมดิน 

             เวลาในการปลูกพืชคลุมดินมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง เช่น ฤดูกาล อายุของต้นยาง การปลูกพืชคลุมดินให้ประสบความสำเร็จมีข้อควรพิจารณาดังนี้ 

            1. ฤดูกาลและเวลา ควรปลูกต้นฤดูฝน เพื่อให้พืชคลุมดินเจริญเติบโตควบคุมวัชพืช และติดฝักให้เมล็ดได้ดีกว่าการปลูกล่าช้าออกไปเป็นการป้องกันการชะล้างหน้าดินได้เร็วขึ้น นอกจากนั้นในช่วงฤดูแล้งก็ยังสามารถดำรงชีพอยู่ได้เพราะมีเถาที่แข็งแรง 

แม้ว่าใบจะร่วงหล่นไปก็ตาม เมื่อถึงฤดูฝนถัดไปเถาที่มีชีวิตอยู่นี้ และเมล็ดที่ร่วงหล่นอยู่บางส่วนก็จะเจริญงอกงามต่อไป 

ในสภาพดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์หรือในเขตแห้งแล้งไม่ควรปลูกพืชคลุมดินทิ้งไว้ข้ามฤดูกาลก่อนการปลูกยางเพราะพืชคลุมดินอาจทำความเสียหายให้กับต้นยาง โดยแย่งความชื้นในดินในช่วงฤดูแล้ง



แหล่งที่มา :  __แดง__ ประสิทธิ์ กาญจนา นักวิชาการฯ คณะเกษตรศาสตร์ ม.อุบลราชธานี